Health

  • เหงื่อออก ผิดปกติควรไปพบแพทย์
    เหงื่อออก ผิดปกติควรไปพบแพทย์

    เหงื่อออก ผิดปกติควรไปพบแพทย์

    เหงื่อออก เป็นเรื่องปกติที่ต้องพบเจอทุกวัน ยิ่งอาศัยอยู่ในประเทศเขตร้อนอย่างบ้านเราไปจนถึงสภาพแวดล้อมรอบตัวหรือกิจกรรมต่างๆ ที่ทำในแต่ละวัน จะกระตุ้นให้ออกมากน้อยแตกต่างกันออกไป แต่เหงื่อในลักษณะไหนที่ส่งสัญญาณบอกให้ควรหันมาใส่ใจกับสุขภาพ

    เรื่องน่ารู้ของอาการเหงื่อออกเยอะ

    เหงื่อออก เป็นของเสียรูปแบบหนึ่งที่ถูกขับจากต่อมเหงื่อออกมาทางผิวหนัง เพื่อช่วยลดอุณหภูมิในร่างกายลง โดยมีส่วนประกอบสำคัญเป็นน้ำและเกลือ มักจะออกตามใบหน้า รักแร้ ฝ่ามือและฝ่าเท้าเป็นหลัก ส่วนสาเหตุที่ทำให้เหงื่อออกมาจากหลายปัจจัย ได้แก่

    • อุณหภูมิภายในหรือภายนอกร่างกายสูงขึ้น ถือเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เหงื่อออก
    • สภาวะทางอารมณ์ก็มีส่วนกระตุ้นให้เหงื่อออก เช่น โกรธ กลัว เครียด วิตกกังวล หรืออึดอัดใจ
    • การรับประทานอาหารบางประเภท เช่น อาหารเผ็ดร้อน เครื่องดื่มคาเฟอีน ชา กาแฟ โซดา หรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งกระตุ้นให้เหงื่อออกในขณะรับประทานอาหาร
    • อาการป่วยทางร่างกาย เช่น โรคมะเร็ง ไข้ขึ้น อาการติดเชื้อ น้ำตาลในเลือดต่ำ กลุ่มอาการเจ็บปวดเฉพาะที่อย่างซับซ้อนบริเวณแขนขาหรือกลุ่มอาการซีอาร์พีเอส (Complex Regional Pain Syndrome)
    • การใช้ยาบางชนิด เช่น ยาลดไข้ ยาแก้ปวดหรือมอร์ฟีน ยาบำบัดภาวะร่างกายพร่องไทรอยด์ฮอร์โมน (Synthetic Thyroid Hormones)
    • อยู่ในวัยหมดประจำเดือนหรือวัยทอง เป็นช่วงของการเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับประจำเดือน ซึ่งเป็นตัวกระตุ้นให้เหงื่อออก จึงสังเกตเห็นได้ว่าผู้หญิงวัยทองมักมีอาการเหงื่อออกในเวลากลางคืน หรือมีอาการร้อนวูบวาบพร้อมกับเหงื่อออก

    ปริมาณเหงื่อแต่ละวันที่ถูกขับออกจากร่างกายจะแตกต่างกันออกไปในแต่ละคน อาจมีปริมาณน้อยกว่า 1 ลิตรไปจนถึงหลายลิตร ขึ้นอยู่กับกิจกรรมที่ทำในระหว่างวันและสภาพอากาศ เช่น พนักงานออฟฟิศในตึกที่ควบคุมอุณหภูมิให้เย็นสบายจะมีเหงื่อออกน้อยกว่าคนงานที่ทำงานข้างนอกตึกในสภาพอากาศร้อนจัด การออกกำลังกาย หรือทำกิจกรรมที่ต้องออกแรง จะทำให้เหงื่อออกได้มากกว่าปกติ นอกจากนี้ ปริมาณเหงื่อยังขึ้นอยู่กับจำนวนต่อมเหงื่อในร่างกาย โดยผู้ที่อยู่ในช่วงวัยรุ่นจะเหงื่อออกได้ง่ายกว่าวัยอื่น เพราะเป็นช่วงที่ต่อมเหล่านี้ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ และต่อมเหงื่อของผู้ชายมักทำงานได้มากกว่าผู้หญิง

    อีกหนึ่งปัญหาที่ตามมาจากเหงื่อคงหนีไม่พ้นเรื่องของกลิ่นไม่พึงประสงค์ ตัวการของกลิ่นไม่ได้มาจากเหงื่อโดยตรง แต่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียบนผิวหนังทำปฏิกิริยากับกรดในเหงื่อจนกลายเป็นกลิ่นตัว (Bromhidrosis) ซึ่งเป็นปัญหาที่พบบ่อยในวัยหนุ่มสาว และผู้ชายก็มักมีกลิ่นตัวได้ง่ายกว่าสาวๆ เนื่องจากมีต่อมเหงื่อมากกว่า จึงทำให้ผลิตเหงื่อออกมามาก รวมถึงยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่ทำให้เกิดกลิ่นตัวได้ง่าย เช่น น้ำหนักตัวมาก รับประทานอาหารรสจัดหรือแอลกอฮอล์ รับประทานยาบางชนิดอย่างยาต้านเศร้า (Antidepressants) หรือโรคบางโรค

    เหงื่อบ่งบอกสุขภาพได้อย่างไร

    ความเหนียวตัวและกลิ่นไม่พึงประสงค์จากเหงื่อทำให้หลายคนรู้สึกหงุดหงิดจนพาลไม่อยากให้เหงื่อออก แต่หากเหงื่อไม่ออกเลย ออกเพียงช่วงกลางคืน หรือแม้แต่ออกมากเกินในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งก็อาจเป็นสัญญาณผิดปกติที่ควรระวัง เพราะมักเป็นปัญหาสุขภาพที่ซ่อนอยู่ ซึ่งภาวะเหงื่อออกผิดปกติที่พบได้บ่อย ได้แก่

    • ภาวะขาดเหงื่อ (Anhidrosis)

    เป็นภาวะที่ร่างกายไม่สามารถผลิตเหงื่อได้ตามปกติ จึงอาจทำให้ร่างกายสะสมความร้อนไว้สูงเกินไป ซึ่งจะเสี่ยงต่อการเกิดโรคที่มีสาเหตุมาจากความร้อน เช่น ตะคริวแดด (Heat Cramp) อาการเพลียแดด (Heat Exhaustion) จากการโดนแดดหรือความร้อนเป็นเวลานานจนทำให้หมดแรง โรคลมแดด (Heat Stroke) และอาจเป็นอันตรายถึงขั้นเสียชีวิตเมื่อุณหภูมิในร่างกายสูงมากกว่า 40 องศาเซลเซียส เพราะร่างกายไม่สามารถระบายความร้อนออกไปพร้อมกับเหงื่อได้ทัน

    ภาวะขาดเหงื่อเกิดได้กับทุกส่วนของร่างกายหรือเกิดเป็นเฉพาะบางจุด โดยสาเหตุการเกิดมาจากหลายปัจจัย เช่น การได้รับบาดเจ็บบริเวณผิวหนังอย่างรุนแรง โรคหรือยาบางชนิด สภาวะบางอย่างที่ทำให้ระบบเส้นประสาทเสียหาย ภาวะขาดน้ำ หรือแม้แต่กรรมพันธุ์ ซึ่งส่งผลกระทบต่อการทำงานของต่อมเหงื่อ ส่วนการรักษาต้องพิจารณาจากสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดภาวะนี้ เพื่อรักษาให้หายขาด

    • เหงื่อออกมากผิดปกติ (Hyperhidrosis)

    ภาวะหลั่งเหงื่อมากเป็นภาวะที่ร่างกายผลิตเหงื่อออกมามากเกินความจำเป็น เนื่องจากกลไกการลดอุณหภูมิของร่างกายไวต่อการกระตุ้นและจำนวนต่อมเหงื่อมากกว่าปกติ ทำให้ผลิตเหงื่อออกมากกว่าคนปกติ 3-4 เท่า เช่น นั่งเฉย ๆ ไม่ได้เคลื่อนไหวร่างกายมากก็อาจทำให้เหงื่อท่วมตัว หรือในหน้าหนาวที่อากาศค่อนข้างเย็นกลับพบว่ามีเหงื่อออกมากเหมือนในหน้าร้อน

    สาเหตุของเหงื่อออกมากผิดปกติยังไม่ทราบแน่ชัด เพราะเกิดได้จากหลายปัจจัย อาจมาจากการรับประทานยารักษาโรคที่เกี่ยวข้องกับระบบต่อมไร้ท่อ เช่น โรคเบาหวานหรือโรคของต่อมไทรอยด์ เข้าสู่ช่วงวัยทอง รวมไปถึงการติดเชื้อ โรคมะเร็ง โรคหัวใจ โรคปอด

    เมื่อเหงื่อออกมากก็จะทำให้เกิดกลิ่นตามมา โดยเฉพาะจุดอับตามร่างกาย ผู้ที่เกิดภาวะหลั่งเหงื่อมากควรเริ่มต้นด้วยการดูแลความสะอาดของร่างกายตามคำแนะนำ ดังนี้

    • อาบน้ำเป็นประจำทุกวันหรืออาบบ่อยขึ้นในวันที่อากาศร้อน ซึ่งจะช่วยกำจัดแบคทีเรียตามผิวหนังและจุดซ่อนเร้นไม่ให้เพิ่มปริมาณมากขึ้น รวมไปถึงเลือกใช้ผลิตภัณฑ์อาบน้ำที่มีคุณสมบัติต้านเชื้อแบคทีเรีย
    • รักษาความสะอาดของจุดซ่อนเร้น เพราะเป็นจุดอับที่เกิดกลิ่นได้ง่าย เช่น รักแร้ ขาหนีบ ข้อพับ
    • ใช้ผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกายหลังอาบน้ำ โดยเน้นผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของอะลูมิเนียม คลอไรด์ (Aluminium Chloride) ซึ่งจะช่วยลดการผลิตเหงื่อให้น้อยลง
    • เลือกสวมเสื้อผ้าที่ผลิตจากเส้นใยธรรมชาติ เพราะมีคุณสมบัติในการระบายความร้อนได้ดี ไม่ก่อให้เกิดความอับชื้นได้ง่าย
    • สวมใส่เสื้อผ้าที่สะอาดและเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ทุกวัน เพื่อป้องกันการสะสมของเชื้อแบคทีเรีย
    • เลี่ยงรับประทานอาหารรสจัด เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หรือสัตว์เนื้อแดง ซึ่งกระตุ้นให้เหงื่อออกมากขึ้น

    หากการดูแลเบื้องต้นไม่ดีขึ้น การรักษาทางการแพทย์อาจใช้การฉีดสารโบทูลินั่ม ท็อกซิน(Botulinum Toxin) ในบริเวณที่มีต่อมเหงื่อเยอะ เช่น ใต้วงแขน แขน ขา หรือใบหน้า ซึ่งช่วยยับยั้งการส่งสัญญาณของสมองไปยังต่อมเหงื่อให้ผลิตเหงื่อน้อยลง

    ในกรณีที่เกิดกลิ่นตัวอย่างรุนแรงมากจนไม่สามารถบรรเทากลิ่นให้น้อยลงด้วยวิธีการอื่น แพทย์อาจรักษาด้วยการผ่าตัดกำจัดต่อมเหงื่อบางส่วนออก ซึ่งมีอยู่หลากหลายวิธีที่นิยมใช้ เช่น การผ่าตัดนำเนื้อเยื่อหรือผิวหนังใต้วงแขนบางส่วนออก การดูดต่อมเหงื่อใต้ผิวหนังออกโดยใช้เทคนิคเดียวกับการดูดไขมัน (Liposuction) การผ่าตัดผ่านรูกุญแจ (Keyhole Surgery) ด้วยเทคนิคที่เรียกว่า Endoscopic Thoracic Sympathectomy (ETS) เพื่อทำลายเส้นประสาทที่ควบคุมต่อมการผลิตเหงื่อ

    • เหงื่อออกกลางคืน (Night Sweat)

    เป็นภาวะที่มีเหงื่อออกมากผิดปกติเฉพาะช่วงกลางคืน โดยไม่มีปัจจัยอื่นกระตุ้นให้เหงื่อออกและอุณหภูมิของห้องเป็นปกติ บางครั้งอาจมีเหงื่อออกมากจนที่นอนเปียกชื้น ภาวะนี้ในบางครั้งอาจวินิจฉัยได้ยาก เพราะบางคนเหงื่อออกจากสภาพแวดล้อมภายนอก เช่น อุณหภูมิในห้องนอนสูงเกินไป ชุดเครื่องนอนหนามาก หรือบนเตียงมีหมอนเยอะหลายใบจนทำให้รู้สึกร้อน แพทย์จึงต้องแยกสาเหตุทั่วไปและทางการแพทย์ออกจากกัน

    สาเหตุการเกิดอาจมาได้จากหลายส่วน ภาวะนี้มักพบได้บ่อยในผู้หญิงที่เริ่มเข้าสู่ช่วงวัยทอง ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน ซึ่งจะเกิดร่วมกับอาการอื่นๆ ของวัยทอง เช่น ช่องคลอดแห้ง รู้สึกร้อนวูบวาบในช่วงกลางวัน อารมณ์แปรปรวน ส่วนสาเหตุอื่นๆ เกิดได้จากการรับประทานยาบางชนิด ความผิดปกติของฮอร์โมน ไข้ขึ้น แต่ในบางรายก็เป็นผลมาจากการติดเชื้อหรือโรคมะเร็ง แต่พบได้ค่อนข้างน้อย ในการวินิจฉัยจึงต้องใช้ข้อมูลหลายส่วนประกอบกัน

    อาการเหงื่อออกเป็นกลไกธรรมชาติที่ช่วยลดความร้อนภายในร่างกายและเป็นตัวบ่งบอกถึงสุขภาพบางส่วนจากระบบทำงานของร่างกายที่ผิดเพี้ยนไป แต่หากขาดการดูแลและรักษาความสะอาดอย่างเหมาะสมย่อมจะเกิดผลเสียตามมา จึงควรหมั่นสังเกตว่าเหงื่อที่ออกในชีวิตประจำวันเป็นปกติหรือพ่วงความผิดปกติใดมาหรือไม่ เช่น เจ็บหน้าอก ไข้ขึ้น หัวใจเต้นเร็วและถี่ หายใจสั้น น้ำหนักลง เพราะอาจเป็นสัญญาณว่าคุณกำลังเผชิญกับการติดเชื้อหรือโรคเกี่ยวกับต่อมไทรอยด์ที่ซ่อนอยู่ อย่างไรก็ตาม ควรไปพบแพทย์เมื่อมีเหงื่อออกในลักษณะต่อไปนี้

    • เหงื่อออกมากหรือออกเป็นระยะเวลานานโดยหาสาเหตุไม่ได้
    • มีอาการเจ็บแน่นหน้าอกหรือความดันโลหิตเกิดขึ้นพร้อมกับเหงื่อออก หรืออาจเกิดตามมา
    • เหงื่อออกบ่อยๆ ในช่วงกลางคืนหรือเหงื่อออกมากจนน้ำหนักลด

    เหงื่อออก

    เหงื่อมากผิดปกติ มีวิธีรักษาและดูแลตัวเองอย่างไร

    การักษาโรคเหงื่อออกมากผิดปกติ ขึ้นอยู่กับว่าเป็นอาการเข้ากับกลุ่มไหน ถ้าสงสัยว่าเป็น Secondary Hyperhidrosis (กลุ่มที่มีสาเหตุจากภาวะความผิดปกติในร่างกาย) ก็ต้องไปหาว่าเป็นโรคอะไร และรักษาโรคนั้น อาการเหงื่อออกมากผิดปกติก็จะค่อยๆ ดีขึ้น แต่ถ้าอาการเข้าได้กับ Primary focal hyperhidrosis และหาสาเหตุไม่ได้ ก็จะรักษาโดยการลดปริมาณเหงื่อที่ออกในบริเวณนั้นๆ ซึ่งทำได้ด้วยวิธีดังต่อไปนี้

    1.ทายา ที่มีส่วนผสมของอลูมิเนียมคลอไรด์ (Antiperspirants)

    หรือสารระงับเหงื่อ ออกฤทธิ์ทำให้โปรตีนในผิวหนังเกิดการตกตะกอน เมื่อสารนี้ซึมเข้าไปสู่รูต่อมเหงื่อ เกลืออลูมิเนียมจะเข้าเกาะติดในรูต่อมเหงื่อจนทำให้รูอุดตัน และปิดกั้นทางออกของเหงื่อไว้ สามารถทาได้ทั้งบริเวณ ไรผม รักแร้ ฝ่ามือ ฝ่าเท้า โดยต้องทายาก่อนนอนในบริเวณที่เหงื่อออกมากแล้วล้างออกตอนเช้า ยาอาจทำให้เกิดการระคายเคืองในบริเวณที่ใช้ได้

    2.การฉีดสารโบทูลินั่มท็อกซินชนิดเอ (botulinum toxin type A)

    บริเวณรักแร้ หรือฝ่ามือ ฝ่าเท้า เพื่อกดการทำงานของเส้นประสาทที่ควบคุมการหลั่งเหงื่อ ก่อนฉีดก็จะมีการทายาชาและประคบน้ำแข็ง โดยอาจจะมีการทดสอบก่อน (Starch-Iodine Test) เพื่อดูบริเวณที่เหงื่อออก จะได้ฉีดให้ครอบคลุมทั่วบริเวณ ซึ่งฤทธิ์ของโบทูลินั่มท็อกซินจะอยู่ได้นานประมาณ 6-9 เดือน เมื่อหมดฤทธิ์เหงื่อก็จะกลับมาออกตามปกติ

    3.MiraDry

    คือ เทคโนโลยีที่ได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกาประเทศสหรัฐอเมริกา (FDA) ช่วยในการแก้ไขปัญหาเหงื่อ และกลิ่นตัวบริเวณใต้วงแขน โดยการใช้พลังงานคลื่นไมโครเวฟ ส่งพลังงานความร้อนลงไปทำลายต่อมเหงื่อบริเวณรักแร้ สามารถแก้ไขปัญหาได้ถาวร โดยไม่จำเป็นต้องทำซ้ำหลายครั้ง และยังมีความปลอดภัยสูง โดยเป็นเครื่องเดียวในปัจจุบัน ที่ได้รับรับรองจาก FDA ในการรักษาโรคนี้

    4.การรักษาด้วยไอออนโตฟอรีซีส (Iontophoresis)

    เป็นวิธีที่ใช้กระแสไฟฟ้าพลังงานต่ำช่วยส่งผ่านน้ำหรือยาเข้าสู่ผิวหนังบริเวณต่อมเหงื่อ บริเวณรักแร้ ฝ่ามือ ฝ่าเท้า ส่งผลให้ต่อมเหงื่อบริเวณนั้นทำงานลดลง อาจต้องเข้ารับการรักษาประมาณ 6-10 ครั้งจึงจะเห็นผล และอาจต้องทำซ้ำทุกเดือนเพื่อให้ได้ผลอย่างต่อเนื่อง

    5.การผ่าตัด มีทั้งการผ่าตัดเอาต่อมเหงื่อออก (remove sweat glands)

    การกำจัดปมประสาทอัตโนมัติ (Sympathectomy) โดยการทำลายปมประสาทบางส่วนที่ส่งสัญญาณมาบริเวณใบหน้า ฝ่ามือ หรือรักแร้ ส่งผลให้ไม่มีการหลั่งเหงื่อเกิดขึ้นที่บริเวณนั้นๆ

    การดูแลตนเองสำหรับผู้ที่เป็นโรคเหงื่อออกเยอะผิดปกติ

    1. ควรสวมเสื้อผ้าที่ไม่รัดแน่นจนเกินไป ใส่สบาย ระบายเหงื่อได้ดี
    2. อาบน้ำอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง หรือมากกว่าตามความสะดวก
    3. รักษาเท้าให้แห้งเสมอ เพื่อป้องกันการเป็นเชื้อรา
    4. สวมรองเท้าที่สะอาดและแห้งอยู่เสมอ และมีรองเท้าสำรอง ใส่สลับสับเปลี่ยนทุกวัน เพื่อลดการสะสมเชื้อแบคทีเรีย
    5. เลือกรับประทานอาหารชนิดที่ไม่เพิ่มการหลั่งเหงื่อเช่น อาหารรสเผ็ดจัด และอาหารที่ไม่เพิ่มกลิ่นทางเหงื่อ เช่น กระเทียม หัวหอม ต้นหอม
    6. ควบคุมอาการ ออกกำลังกาย เพื่อควบคุมน้ำหนัก ไม่ให้น้ำหนักเกิน หรือเป็นโรคอ้วน

    ที่มา

     

    ติดตามอ่านเรื่องเกี่ยวกับสุขภาพได้ที่  tyreinternationalfestival.com

    สนับสนุนโดย  ufabet369

Economy

  • กองทุนรวม คืออะไร ลงทุนอย่างไรให้ได้โอกาสทำกำไร
    กองทุนรวม คืออะไร ลงทุนอย่างไรให้ได้โอกาสทำกำไร

    การลงทุนในสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงอย่างหุ้น ก็มีโอกาสที่จะสร้างกำไรชนะเงินเฟ้อ แต่จะทำแบบนี้ได้ เราต้องมีความรู้เรื่องการลงทุนที่ดีพอซะก่อน สำหรับใครที่ไม่มีเวลาติดตามสภาวะตลาด ไม่มีเงินก้อนใหญ่ และไม่มีประสบการณ์ในการลงทุน เราขอแนะนำการลงทุนใน กองทุนรวม ที่สะดวก ง่าย และมีมืออาชีพคอยดูแลอย่างใกล้ชิด

    กองทุนรวม 1

    กองทุนรวม คืออะไร

    กองทุนรวม คือ การระดมเงินลงทุนจากนักลงทุนรายย่อยมารวมเป็นเงินลงทุนก้อนใหญ่ โดยมีบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เป็นผู้ดูแล เพื่อนำเงินไปลงทุนตามนโยบายการลงทุนที่ระบุไว้ในหนังสือชี้ชวน นักลงทุนสามารถเลือกลงทุนในกองทุนรวมตามนโยบายที่ตนเองสนใจ เมื่อลงทุนแล้วจะได้รับจัดสรร “หน่วยลงทุน” เพื่อแสดงความเป็นเจ้าของเงินที่ลงทุนไป เราจึงเรียกผู้ลงทุนในกองทุนรวมว่า “ผู้ถือหน่วยลงทุน” นั่นเอง

    สำหรับมูลค่าของหน่วยลงทุน ในกองทุนแต่ละกองจะมีมูลค่าไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับการบริหารกองทุนและปัจจัยที่มีผลต่อสินทรัพย์ที่ลงทุน นอกเสียจากจะเป็นกองทุนรวมที่เสนอขายครั้งแรก หรือ Initial Public Offering (IPO) ก็จะมีมูลค่าเริ่มต้นที่ 10 บาท และมูลค่าหน่วยก็จะเปลี่ยนไปหลังจากเสร็จสิ้นการระดมทุนและเริ่มการซื้อขายตามปกติ

    ประเภทของ กองทุนรวม มีอะไรบ้าง

    การลงทุนในกองทุนรวมมีหลากหลายประเภท ขึ้นอยู่กับสินทรัพย์และนโยบายของกองทุน โดยแต่ละประเภทก็มักมีความเสี่ยงต่างกันไปด้วย หากอยากรู้ว่ากองทุนรวมมีอะไรบ้าง เราขอแบ่งประเภทของกองทุนรวมตามนโยบายการลงทุนให้เข้าใจดังนี้

    1. กองทุนรวมตลาดเงิน (Money Market Fund)

    เน้นลงทุนในเงินฝาก และตราสารหนี้คุณภาพดีอายุต่ำกว่า 1 ปี เป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงต่ำที่สุด และมีโอกาสได้รับผลตอบแทนน้อยที่สุด เหมาะสำหรับเป็นที่พักเงินชั่วคราวมากกว่าลงทุนที่คาดหวังผลตอบแทน

    1. กองทุนรวมตราสารหนี้ (Fixed Income Fund)

    มีนโยบายลงทุนในเงินฝากและตราสารหนี้รูปแบบต่างๆ เช่น พันธบัตรรัฐบาล ตั๋วเงินคลัง ตั๋วแลกเงิน และหุ้นกู้ของภาคเอกชน เหมาะสำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้น้อย และควรศึกษาลักษณะของกองทุนที่ลงทุน หากกองทุนเน้นลงทุนในตราสารหนี้ระยะกลาง ก็ควรลงทุนอย่างน้อย 1 ปี

    1. กองทุนรวมผสม (Mixed Fund)

    เป็นกองทุนที่เน้นลงทุนในหลากหลายสินทรัพย์ ทั้งตราสารหนี้ หุ้น และสินทรัพย์อื่นๆ โดยโอกาสรับผลตอบแทนก็จะขึ้นอยู่กับสัดส่วนของสินทรัพย์ที่ลงทุนในกองทุน กองทุนผสมเหมาะสำหรับนักลงทุนที่ยอมรับความเสี่ยงได้ระดับปานกลางค่อนข้างสูง หรือคนที่ต้องการกระจายลงทุนหลายสินทรัพย์ในกองทุนเดียว ซึ่งกองทุนผสมจะตอบโจทย์มากกว่าการเลือกลงทุนเอง เพราะมีผู้จัดการกองทุนคอยดูแลปรับสัดส่วนการลงทุน เพื่อให้ได้โอกาสทำกำไรสูงสุดในแต่ละสภาวะตลาด

    1. กองทุนรวมตราสารทุน หรือ กองทุนรวมหุ้น (Equity Fund)

    มีนโยบายการลงทุนที่เน้นลงทุนในหุ้น เช่น หุ้นสามัญ หุ้นบุริมสิทธิ ใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้น (warrant) สำหรับกองทุนรวมหุ้นไทยก็จะมีหลากหลายนโยบาย เช่น ลงทุนตามดัชนี SET50, ลงทุนในหุ้นที่มีนโยบายจ่ายเงินปันผล ฯลฯ กองทุนรวมหุ้นมีความผันผวนสูง จึงเหมาะกับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้มาก สามารถลงทุนระยะยาวได้ และยอมรับการขาดทุนในระยะสั้น

    1. กองทุนรวมที่ลงทุนในต่างประเทศ (Foreign Investment Fund: FIF)

    เป็นกองทุนรวมที่นำเงินไปลงทุนในต่างประเทศ เพื่อเพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนที่เหนือกว่าการลงทุนในประเทศ และยังช่วยกระจายความเสี่ยงจากการลงทุน โดยกองทุนรวมที่ลงทุนในต่างประเทศที่ได้รับความนิยม มักเป็นการลงทุนตามดัชนีสำคัญๆ ของโลก หรือการคัดสรรหุ้นรายตัวที่โดดเด่นในตลาดต่างประเทศ กองทุนรวมประเภทนี้มีความเสี่ยงสูง ถึงสูงมาก และยังมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศที่นักลงทุนต้องระวัง ก่อนลงทุนควรศึกษาว่ากองทุนมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนหรือไม่ด้วย

    1. กองทุนรวมที่ลงทุนในทรัพย์สินทางเลือก (Alternative Investment)

    มีหลากหลายประเภทสินทรัพย์ให้เลือกลงทุน เช่น โครงสร้างพื้นฐาน อสังหาริมทรัพย์ สินค้าโภคภัณฑ์ อย่างน้ำมันดิบ และทองคำ ฯลฯ จัดเป็นกองทุนรวมที่มีความเสี่ยงสูงมาก ผู้ลงทุนควรมีความรู้ในสินทรัพย์นั้นๆ ก่อนตัดสินใจลงทุน

    1. กองทุนรวมเพื่อการออม (Super Savings Fund: SSF)

    เป็นกองทุนเพื่อส่งเสริมการออมระยะยาวที่ให้สิทธิลดหย่อนภาษี ต้องมีการลงทุนตามเงื่อนไขของกรมสรรพากรและเมื่อซื้อแล้วต้องถือครองให้ครบเป็นเวลา 10 ปีนับจากวันที่ซื้อจึงจะสามารถไถ่ถอนได้ และมีนโยบายการลงทุนที่หลากหลายตามประเภทของกองทุนรวมที่กล่าวมาข้างต้น เช่น การลงทุนในตลาดเงิน ตราสารหนี้ หุ้น หุ้นกู้ดิจิทัล และทรัพย์สินทางเลือก ฯลฯ

    1. กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (Retirement Mutual Fund: RMF)

    เป็นกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพที่ส่งเสริมการออมเงินในระยะยาวเพื่อใช้จ่ายยามเกษียณและมีสิทธิลดหย่อนภาษีได้ ซึ่งมีเงื่อนไขหลักในการลงทุนคือ จะต้องลงทุนอย่างน้อย 5 ปีต่อเนื่องและต้องมีอายุครบ 55 ปี จึงจะสามารถไถ่ถอนหน่วยลงทุนได้  ซึ่งมีนโยบายการลงทุนที่หลากหลายตามประเภทของกองทุนรวมที่กล่าวมาข้างต้น เช่น การลงทุนในตลาดเงิน ตราสารหนี้ หุ้น และทรัพย์สินทางเลือก ฯลฯ

    ข้อดีของการลงทุนในกองทุนรวม

    1. มีมืออาชีพคอยดูแลการลงทุน

    นั่นคือ ผู้จัดการกองทุนที่มีความเชี่ยวชาญในแต่ละสินทรัพย์ และสามารถวิเคราะห์หาโอกาสทำกำไรได้อย่างมืออาชีพ เราจึงมั่นใจได้ว่าเงินที่เราลงทุนจะอยู่ภายใต้การดูแลอย่างดี

    1. มีนโยบายการลงทุนที่หลากหลาย

    เราสามารถเลือกลงทุนได้ตามระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ หรือกระจายความเสี่ยงได้ในหลายสินทรัพย์ ที่สำคัญบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ยังนำเสนอกองทุนรวมใหม่ๆ ตามเทรนด์อยู่เสมอ เช่น กองทุนหุ้นเทคโนโลยี กองทุนหุ้นการแพทย์ เพื่อเป็นทางเลือกให้กับนักลงทุน

    1. เงินไม่มากก็ลงทุนได้

    การลงทุนในกองทุนรวมมีเงินเพียงหลักร้อยก็ลงทุนได้แล้ว หรือบางกองทุนก็ให้เราเริ่มต้นลงทุนเพียง 1 บาทเท่านั้น อีกทั้งยังสามารถทยอยลงทุนแบบ DCA ได้ด้วย

    1. ขั้นตอนการลงทุนที่ง่ายดาย

    เพราะลงทุนได้ผ่านแอปพลิเคชัน อย่างเช่น Krungthai Next ที่ทำให้การลงทุนเป็นเรื่องง่าย จะเปิดบัญชี ดูพอร์ต หรือ ซื้อ ขาย สับเปลี่ยนกองทุน ก็ทำได้ผ่านแอป สะดวกและรวดเร็ว สามารถดูรายละเอียดกองทุนได้เพิ่มเติมที่นี่ กองทุนรวมกรุงไทย

    เทคนิคการลงทุนในกองทุนรวม

    1. รู้เป้าหมายการลงทุน

    ว่าจะเน้นลงทุนระยะยาวเพียงใด รับความเสี่ยงได้ในระดับไหน และคาดหวังผลตอบแทนประมาณกี่เปอร์เซ็นต์ ทั้งหมดนี้จะมีความสัมพันธ์กับการเลือกกองทุนรวม เช่น หากเราลงทุนระยะยาวและรับความเสี่ยงได้สูง ก็ให้เลือกลงทุนในกองทุนรวมหุ้น หรือหากต้องการพักเงินระยะสั้น ไม่คาดหวังผลตอบแทนมาก แต่เน้นรักษาเงินต้น ก็อาจพิจารณาเลือกกองทุนรวมตลาดเงินหรือตราสารหนี้ได้ เป็นต้น

    1. รู้จักประเภทสินทรัพย์ที่ลงทุน

    จริงอยู่ว่ากองทุนรวมมีผู้จัดการกองทุนมืออาชีพที่ดูแลเงินลงทุนของเรา แต่ผู้ลงทุนควรมีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับสินทรัพย์ที่ลงทุนด้วย เพื่อให้จัดพอร์ตการลงทุนได้บาลานซ์ กระจายความเสี่ยงได้หลากหลาย และรู้ว่าสินทรัพย์แต่ละชนิดจะให้โอกาสทำกำไรได้ในสถาการณ์แบบใด เพื่อให้หลีกเลี่ยง หรือสับเปลี่ยนได้ทันท่วงที

    1. รู้ข้อมูลเบื้องต้นของกองทุน

    ได้แก่ นโยบายการลงทุน การจ่ายปันผล ค่าธรรมเนียมต่างๆ และผลการดำเนินงานในอดีต เหล่านี้จะสะท้อนถึงฝีมือในการบริหารกองทุน และโอกาสทำกำไรแบบเต็มเม็ดเต็มหน่วย เช่น บางกองทุนมีผลการดำเนินงานที่ดี แต่ค่าธรรมเนียมค่อนข้างสูง เราอาจต้องเปรียบเทียบกับกองทุนที่มีนโยบายเดียวกันเพิ่มเติม ซึ่งข้อมูลสำคัญของกองทุนรวมสามารถดูได้จากหนังสือชี้ชวนการลงทุนของกองทุนนั้นๆ

    อย่างไรก็ดี แม้เราจะรู้แล้วว่ากองทุนรวมคืออะไร และสร้างโอกาสทำกำไรให้เราได้อย่างไร ทว่าการลงทุนก็ย่อมมีความเสี่ยงและผลการดำเนินงานในอดีต ก็มิอาจยืนยันผลการดำเนินงานในอนาคต ผู้ลงทุนจึงต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน หรือหากจะลงทุนในกองทุนลดหย่อนภาษีก็ควรศึกษาเงื่อนไขก่อนตัดสินใจลงทุนด้วย

    กองทุนรวมต่างจากการลงทุนในหุ้นตรงไหน

    กองทุนรวม (Mutual Fund) เกิดจากการระดมและรวบรวมเงินจากบุคคลทั่วไป เพื่อนำไปลงทุนในหลักทรัพย์ต่าง ๆ โดยมีผู้จัดการกองทุนคอยดูแลและบริหารเงินลงทุนให้เกิดผลตอบแทนมากที่สุด อีกทั้งกองทุนรวมเองก็ยังมีสถานะเป็นนิติบุคคลที่ต้องถูกจดทะเบียนตามกฎหมาย ส่วนการลงทุนในหุ้นนั้นผู้ลงทุนจะต้องเป็นผู้บริหารเองทั้งหมด

    จะลงทุนในหุ้นหรือกองทุนรวมดี ? มักจะเป็นคำถามที่หลายคนสงสัย เพราะการลงทุนทั้ง 2 แบบนั้นถือเป็นการลงทุนที่ได้รับความนิยมเหมือนกัน เนื่องจากคุณสามารถสร้างผลตอบแทนโดยที่ไม่ต้องบริหารกิจการ ซึ่งทั้งหุ้นและกองทุนรวมนั้นมีความเสี่ยงในการลงทุนคล้าย ๆ กัน แต่หุ้นนั้นมักจะเป็นการพิจารณาเลือกหน่วยลงทุนโดยตัวคุณเอง และหลักทรัพย์ที่จะลงทุนได้นั้นจะต้องอยู่ในตลาดหุ้นเท่านั้น

    ในขณะที่กองทุนรวม คุณจะมีผู้จัดการกองทุนคอยดูแลและเลือกจัดสรรการลงทุนอย่างเหมาะสม รวมไปถึงยังเลือกกระจายการลงทุนไปยังหลักทรัพย์อื่น ๆ นอกเหนือจากหุ้น เช่น ตราสารหนี้ หุ้นกู้ พันธบัตรรัฐบาล หรือเงินตราต่างประเทศ บางครั้งกองทุนรวมยังจะเลือกลงทุนในกลุ่มหุ้นอุตสาหกรรมเดียวกัน หรือกลุ่มหุ้นของต่างประเทศอีกด้วย นอกจากนี้ กองทุนรวมบางประเภทยังมีสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ทำให้ผู้ซื้อหน่วยลงทุนสามารถนำไปลดหย่อนภาษีเงินได้ครับ


    ข่าวอื่นๆที่เกี่ยวข้อง
    เลือกซื้อ เฟอร์นิเจอร์ เข้าบ้านอย่างไร
    การศึกษาพันธุกรรม ความหลากหลายของสิ่งมีชีวิต
    ลุยเกาหลีใต้! ดึงยักษ์ใหญ่ลงทุนไทย
    เคล็ดลับสำหรับนักเรียนประวัติศาสตร์วรรณคดีอังกฤษ
    ติดตามข่าวอื่นๆได้ที่ https://tyreinternationalfestival.com/
    สนับสนุนโดย  ufabet369
    ที่มา krungthai.com